เรื่อง
CD4 , CD8คืออะไร?
1. CD4 lymphocytes
CD4 lymphocytes ( T helper cells )
เป็นเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส
HIV ได้ง่ายที่สุด
เนื่องจากมีตัวรับ ( receptor )
ไวรัสมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม CD4
ซึ่งอยู่ภายนอกระบบเลือดจะพบไวรัสน้อย
เมื่อตรวจด้วยวิธี PCR (Poly- merase
chain reaction)
โดยวิธีการนี้ทำให้ทราบว่าจะมีเซลล์
CD4 ติดเชื้อ 1 ใน 50,000 เซลล์
ในระยะแรกและเพิ่มขึ้นเป็น
1 ใน 100 เซลล์ เมื่อแสดงอาการ
( full blown )
และยังได้พบว่ามีการติดเชื้อในต่อมน้ำเหลืองมากกว่าส่วนอื่นๆ
5-10 เท่า
CD4 cells
จะถูกฆ่าอย่างรวดเร็วเมื่อมีการกระตุ้นไวรัส
แต่เซลล์ที่ยังไม่ถูกกระตุ้นก็อาจมีชีวิตยืนยาวแม้จะมีไวรัสอยู่ภายในเซลล์ก็ตาม
แม้จะมี CD4 cells ที่ติดเชื้อไวรัสในปริมาณน้อย
การติดเชื้อก็สามารถทำให้ปริมาณของ
CD4
ลดลงเนื่องจากผู้ที่ติดเชื้อ
AIDS
จะมีความสามารถในการผลิต
CD4
ลดลงเนื่องจากมีการทำลาย
stem cell ซึ่งเป็น precursor ของ CD4
ในอีกทางหนึ่ง
ผู้ติดเชื้อ AIDS สามารถสร้าง
autoantibodies
เข้าทำลายโปรตีนที่มีขนาด
18-kd ซึ่งอยู่ที่ผิวเซลล์ CD4
ที่ติดเชื้อ แอนติบอดี้ดังกล่าวมีผลในทางเป็นพิษต่อเซลล์
( cytotoxic )
กลไกอีกอย่างหนึ่งก็คือการแตกสลาย
( lysis) ของ CD4 โดย cytotoxic lymphocytes หรือ
Antibody-dependent cellular cytotoxicity ( ADCC) ของ CD4
ที่มี free viral envelope proteins
ซึ่งยังไม่นับว่ามีการติดเชื้อ
แม้จะมีการคิดกันว่าสาเหตุหลักของภูมิคุ้มกันบกพร่องคือการลดปริมาณของ
CD4 ลงและ lymphocytes
เหล่านี้ก็จะลดการทำงานของมันไปด้วย
จากการทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่า
CD4 cells จากผู้ป่วย AIDS
จะทำให้การผลิต immunoglobulin โดย B
lymphocytes (ซึ่งถูกกระตุ้นโดย poke
weed mitogen-PWM) ลดลง
Interleukin 2 (IL-2)
ซึ่งมีความสำคัญต่อกระการกระตุ้น
CD8 จะมีปริมาณลดลงในเลือด
เนื่องจากการผลิต CD4 ลดลง
เมื่อ CD4 ลดลงมากขึ้น cell-mediated
immunity (cellular immunity)
ซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการต่อต้านและทำลายเชื้อต่างๆก็ลดลงด้วย
*สภาพการแปรปรวนของ CD4 cells
ซึ่งเกิดจากเชื้อ HIV
ความเสียหายในเชิงปริมาณ (Quantitative
defects)
-
การเป็นพิษต่อเซลล์และในช่วงพักตัวของ
HIV จะทำให้ CD4
ลดจำนวนลงเรื่อยๆ
-
ลดจำนวนหรือปริมาณการสร้าง
CD4
- CD4 จะถูกสัมผัสติดโดย retroviral
glycoprotein ได้
โดยไม่ต้องมีการติดเชื้อ
ความเสียหายในการทำงาน (
Function defects )
-
ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการลดสมรรถภาพในการรับรู้ต่อแอนติเจ้นซึ่งเป็น
soluble protein
-
ความผิดปกติเนื่องจากการเพิ่มการผลิต
immunoglobulin เพียงเล็กน้อย
เมื่อมีการกระตุ้น PWM โดย B
lymphocytes
- T4 cells
ที่ติดเชื้อจะไม่แสดงโมเลกุลของ
CD4 บนเยื่อหุ้มเซลล์
- ลดการผลิต IFN- g และ IL-2
2. CD8 lymphocytes
โดยทั่วไปเชื้อ HIV
มีผลต่อจำนวน CD8+ T cells น้อยมาก
ผู้ป่วย HIV บางคนอาจมี CD8
เพิ่มขึ้น
ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการกระตุ้นโดย
HIV
หรือเชื้อถือโอกาสตัวอื่นๆ
คนแข็งแรงกติจะมีอัตราส่วนของ
CD4+ ต่อ CD8+ =2 : 1
แต่ผู้ป่วยเป็นโรคเอดส์จะมีอัตรากลับกัน
คือมี CD8+ มากกว่า CD4+
ผู้ที่เป็นAIDS
ในระยะท้ายๆจะมี lymphocytes
รวมทั้ง CD8 ลดลง
เนื่องจากความบกพร่องของไขกระดูก
( bone marrow ) และต่อมไธมัส ( thymus gland )
เซลล์ CD8 จากผู้ป่วย AIDS
แสดงการเสียสภาพ cytotoxic
ต่อเซลล์ที่ติดเชื้อ herpes virus
หรือ cytomegalovirus (CMV)
การบกพร่องเช่นนี้อาจเกิดขึ้นเนื่องจากเซลล์
CD4 ไม่ทำงาน
ในความเป็นจริงของการทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่า
ถ้าเติม IL-2
ลงไปจะทำให้ความสามารถในการทำหน้าที่ของ
CD8 ยังคงอยู่ได้ สภาพ cytotoxic response
ต่อ alloantigen ของ CD8
ไม่ขึ้นอยู่กับ CD4
สภาพแปรปรวนของ CD8 cells
ซึ่งเกิดจากเชื้อ HIV
- มีผลน้อยต่อจำนวนของ CD8
-
ทำให้เสียศักยภาพในการเป็นพิษต่อเซลล์
(cytotoxic) ต่อการติดเชื้อ HIV
ภายในเซลล์
- การทำงานเป็น cytotoxic
จะถูกแก้ไขโดย IL-2
- มีการรับรู้สภาพcytotoxi
เป็นปกติต่อแอนติเจ้นที่แตกต่างกันออกไป
ข้อมูลโดย
ศูนย์วิจัยแบคทีเรียและไวรัส
มหาชัย
|