AIDS
เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากเชื้อไวรัส
HIV
(
human immunodefficiency virus
)
ซึ่งจะทำให้ร่างกายขาดความสามารถ
ในการต่อต้านโรค
ทำลายระบบภูมิคุ้มกัน
และเป็นต้นเหตุให้เกิดการติดเชื้อ
และโรคแทรกซ้อนอื่นๆ
ตามมามากมาย
เมื่อมีกระบวนการก่อตัวของโรคเอดส์เกิดขึ้น
ร่างกายของคนเรา
จะสูญเสียความสามารถ
ในการกำจัดอาการป่วยต่างๆ
ซึ่งร่างกาย
ของคนปกติที่มีภูมิคุ้มกันปกติสามารถทำได้
เนื่องจากโรคแทรกซ้อนต่างๆ
จะได้รับประโยชน์เมื่อร่างกายอ่อนแอลง
เป็นการเพิ่มโอกาส ให้
เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆมากขึ้น
ผู้ป่วยที่เป็นโรคเอดส์
จะไม่ได้เสียชีวิตจากโรคเอดส์
หากแต่จะเสียชีวิต
จากอาการแทรกซ้อนและการ
ติดเชื้อที่เกิดขึ้นได้ง่าย
นอกจากนี้จากสถิติเราก็พบว่า
โรคเอดส์เป็นต้นเหตุทำให้โรควัณโรค
ซึ่งครั้งหนึ่งเราเคยควบคุมได้ในเมืองไทย
กลับ
มาแพร่ระบาดอีกครั้งด้วย
จากการศึกษาที่ผ่านมาเราพบว่า
เมื่อใดก็ตามที่เราได้รับเชื้อไวรัส
HIV เชื้อไวรัสตัวนี้ก็จะอยู่ในร่างกาย
ของเราไปตลอดชีวิต
ในปัจจุบันในสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์
ยังไม่สามารถค้นพบวิธีกำจัดเชื้อไวรัสตัวนี้
ออกจากร่างกายผู้ป่วย
และแพทย์ก็ยังคง
ไม่สามารถรักษาคนไข้โรคเอดส์ด้วย
การติดเชื้อ
HIV แบ่งได้เป็น 2 ระยะ
ระยะแรก
หลังจากได้รับเชื้อ
ไวรัสเพิ่มจำนวนตรวจพบได้หลังติดเชื้อประมาณ
2 - 6 สัปดาห์
ในผู้ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันเลย
ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการของโรค
แต่บางรายก็มีอาการไข้
อ่อนเพลีย
อาการคล้ายกับการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่
หรือมีอาการทางประสาท
ระยะสอง
เมื่อติดตามผู้ติดเชื้อประมาณ
5 ปี พบว่า
แบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่ม
คือ
1.
กลุ่มที่ไม่อาการ ( Asymptomatic ) พบได้ร้อยละ 45
-70
2.
กลุ่มที่มีอาการต่อมน้ำเหลืองโต
(Persistent Generalized Lympadenopathy;PGL)
3. กลุ่มมีอาการสัมพันธุ์กับโรคเอดส์
( AIDS related complex ; ARC )
กลุ่มนี้จะมีอาการที่บ่งถึงการเพิ่มจำนวนของไวรัส
และการที่เซลส์ถูกทำลายลงไปเรื่อยๆ
อาการที่พบได้แก่
ไข้เรื้อรัง
น้ำหนักตัวลดอย่างรวดเร็ว
ต่อมน้ำเหลืองโตทั่วร่างกาย
อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
นอนไม่หลับ
เหงื่อออกมากตอนกลางคืน
อาจพบอาการท้องร่วงเรื้อรัง
หรือมีผื่นคัน
4.
กลุ่มที่มีอาการชัดเจนสามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นเอดส์
กลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีอาการ
PGL หรือ ARC นำมาก่อน
ในการติดตามผู้ที่มีเลือดบวก
พบว่า
ผู้ที่ติดเชื้อร้อยละ 25
จะแสดงอาการโรคเอดส์ชัดเจนในเวลา
5 ปี
ผู้ป่วยจะมีอาการทั่วไปเช่นเดียวกับกลุ่ม
ARC
ผู้ป่วยที่วินิจฉัยได้ว่าอยู่ในกลุ่ม
4 นี้
จะมีความบกพร่องทางระบบภูมิคุ้มกันอย่างมาก
แม้รักษาโรคเดิมหายก็มีโอกาสติดเชื้อหใหม่หรือเป็นมะเร็งเกิดขึ้นอีก
ผู้ป่วยเอดส์ร้อยละ 50
ถึงแก่ความตายในเวลา 1
ปี ร้อยละ 75 ตายใน 3 ปี
และ
เกือบทั้งหมดตายภายในเวลา
5 ปี
5.
กลุ่มที่มีอาการทางประสาท
รับเชื้อประมาณ
2 - 6 สัปดาห์ เชื้อไวรัสจะเพิ่มจำนวนในเซลส์
แยกเชื้อไวรัสหรือตรวจพบแอนติเจนได้
ต่อมาจะมีแอนติบอดี้ต่อเชื้อไวรัสนั้น
ซึ่งจะพบแอนติบอดี้หลังการติดเชื้อ
3 สัปดาห์ ถึง 3 เดิอน แอนติบอดี้ตัวแรกที่พบคือ
Anti - gp 41
ซึ่งจะตรวจพบตลอดระยะเวลาของโรค
ต่อมาเมื่อไวรัสลดการเพิ่มจำนวนลงจะไม่พบ
p24 core antigen แต่จะพบ anti - p24
ปรากฎขึ้นแทน
Anti - p24
จะปรากฎในระดับสูง
ในขณะที่ไวรัสเพิ่มจำนวนไม่มาก
ถ้าเมื่อใดที่เชื้อไวรัสมีการเพิ่มจำนวนมากมาย
ผู้ป่วยจะมีอาการมากขึ้น
และตรวจพบแอนติเจน p24
ในเลือด แต่ไม่พบ Anti - p24
ดังนั้น Anti - p 24
จึงมีประโยชน์ในการพยากรณ์โรค
ผู้ที่เคยตรวจพบ Anti - p24
แล้วกลับหายไปแสดงว่าโรคกำลังรุนแรงขึ้น
อาจใช้เป็นครื่องหมายร่วมกับ
p24
ในการรักษาด้วยยาที่ไปยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส
Anti
- gp41
มีความจำเพาะทัยป์
ดังนั้น
น้ำยาที่ใช้ตรวจ Anti - gp24
ของ HIV - 1 จะใช้ตรวจ HIV -2
ไม่ได้
โดยทั่วไปอาศัยการตรวจหา
1.
ตรวจหา Antibodies
ต่อเชื้อ HIV
2. ตรวจหา ชิ้นส่วนของ
HIV
Standard
screening test สำหรับ HIV คือวิธี
ELISA ซึ่งให้ผลดีมาก
มี
Sensitivity มากกว่า 99.5% แต่ Specificity
ไม่ดีนัก ดังนั้นหากผล
ELISA test
เป็นบวกหรือไม่แน่ใจควรได้รับการยืนยันโดยวิธี
WESTERN BLOT
ซึ่งจะให้ผลบวก
ผลลบที่เชื่อถือได้
หากไม่สามารถยืนยันได้โดย
WESTERN BLOT (ผลเป็น
INDETERMINATE)
ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจต่อไปโดยวิธี
POLYMERASE
CHAIN REACTION (PCR)
นอกจากนั้นควรตรวจซ้ำใหม่โดย
WESTERN BLOT
อีก 1 เดือนถัดไป
หากคุณต้องการตรวจ
สามารถรับการตรวจได้ที่สถานพยาบาลที่เชื่อถือได้
ทั้งของรัฐและเอกชน
เพราะมี COMMERCIAL ELISA kit
ไว้บริการโดยทั่วไป
เช่น Determine ซึ่งมีความ
ไวและความจำเพาะต่อการตรวจสูงมาก
อย่างไรก็ตาม
antibodies ต่อเชื้อ HIV
จะตรวจพบได้ในกระแสเลือดหลัง
ติดเชื้อแล้วประมาณ 4-8
สัปดาห์
ดังนั้นในรายที่สงสัยควรตรวจซ้ำหลังจากนั้น
อีก 3 เดือน หาก ELISA test
ครั้งแรกเป็นผลลบ
ถึงแม้ว่าในขณะนี้จะมีการค้นพบ
วิธีการชะลอการดำเนินของโรคให้ช้าลง
โดยยา anti-virus เช่น AZT และ DDI
ก็ตาม
แต่ก็ยังไม่มีวิธีใด
ที่ได้รับการรับรองว่าสามารถรักษาได้ผล
100% ดังนั้นในขณะนี้
แพทย์จึงรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์
ด้วยการพยายาม
ลดความเสี่ยงต่างๆ
ที่จะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน
หรือ
อาการติดเชื้อที่อาจเกิดแก่ผู้ป่วยได้
ในปัจจุบัน
ยาที่ใช้ยับยั้งไวรัสโรคเอดส์
(หรือ HIV)
แบ่งได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ
กลุ่มแรก
จะเป็นสารประกอบ
ที่มีรูปร่างคล้ายกับวัตถุดิบตามธรรมชาติทที่ไวรัส
HIV
ใช้ในการสร้างสารพันธุกรรมเพื่อการเจริญเติบโต
แต่สารประกอบดังกล่าว
จะมีพิษต่อไวรัส -
ตัวอย่างที่ดีของยาประเภทนี้คือ
AZT ( Zidovudine )
ยาอีกประเภทหนึ่ง
จะทำหน้าที่ยับยั้งการตัดแต่งโปรตีนของไวรัส
HIV โดยอาศัยจุดอ่อนของ HIV
ที่จะสร้างโปรตีนจะมีลักษณะติดกัน
เป็นโปรตีนก้อนใหญ่ (
เรียกว่า polyprotein )
ซึ่งจะถูกตัดออกให้เป็นโปรตีนชิ้นเล็ก
ในภายหลัง
โดยเอ็นไซม์ของไวรัสที่มีชื่อว่าโปรตีเอส
( protease )
ยาประเภทที่สองนี้จะขัดขวางการทำงานของเอ็นไซม์โปรตีเอส
จึงมีชื่อเรียกกันอย่างกว้างๆว่า
"protease inhibitor"
ข่าวจากสำนักข่าวรอยเตอร์
แจ้งว่า แพทย์ชาวคานาดา
ได้ใช้ยาสองประเภทนี้
ควบคู่กัน
ในการรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ระยะรุนแรง
จากการทดลองในกลุ่มผู้ป่วยประมาณ
1,000 คน
พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับยา
ทั้งสองประเภทพร้อมๆกัน
จะมีชีวิตยืนยาวกว่าผู้ป่วยที่ได้รับยา
AZT เพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ตาม
เอดส์ยังเป็นโรคที่รักษาให้หายขาดไม่ได้
การให้ยาถือว่าเป็นเพียง
การยืดเวลาให้กับผู้ป่วยเท่านั้น
ในปีค.ศ.1991
สมาคมการแพทย์แห่งอเมริกา
รายงานว่า
มีงานวิจัยจำนวนมาก
ที่ทำให้เราเชื่อได้ว่า
ความปลอดภัย และ
ประสิทธิภาพของ วัคซีน
จะได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
ไม่มีผู้ใดสามารถบอกได้ว่า
เมื่อไรที่วัคซีนจะมีประสิทธิภาพดีพอ
ที่จะนำมาใช้กับผู้ป่วย
ในขณะนี้
ทางที่ดีที่สุด
สำหรับการป้องกันโรค AIDS
คือ ลดโอกาส หรือ
ปัจจัยเสี่ยงสำหรับการสัมผัสกับเชื้อไวรัสตัวนี้
เมื่อเร็วๆนี้
มีรายงานการวิจัย
ซึ่งเกี่ยวกับการฉีดยาให้กับผู้ติดเชื้อ
HIV ในขั้นแรก
โดยใช้วัคซีน
ที่ประกอบจากโปรตีน
ซึ่งทำมาจากเชื้อ ไวรัส
HIV วัคซีนส่วนใหญ่
ใช้ได้สำหรับก่อนที่จะมีการติดเชื้อไวรัส
แต่ไม่สามารถใช้ได้ในผู้ป่วยที่ติดเชื้อมาแล้ว
วัคซีนนี้
จะทำงานโดยการตอบสนอง
ของ
ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ติดเชื้อ
HIV
อย่างไรก็ดีสามารถกระตุ้นได้ในบางรายเท่านั้น
เราไม่สามารถรู้ได้ว่า
วัคซีนตัวนี้จะมีประโยชน์ในการ
หยุดยั้ง
การพัฒนาของโรคเอดส์
ในคนไข้
ที่มีการติดเชื้อไวรัส
HIV หรือไม่
|